|
โลกหลายมิติ ชีวิตหลายมุมมอง หรือทางสู่นิพพาน โดย...อ. ไมตรี ทรัพย์เอนกสันติ ในความรู้สึกของคนทั่วไป วัตถุสิ่งของอะไรที่ปรากฏให้เรามองเห็นจับต้องสัมผัสได้มักมี 3 มิติ คือ กว้าง ยาว สูง (หรือกว้าง ยาว ลึก) คือมี 3 มิติ (Dimension หรือ Space การกินที่ หรือ 3D) คนส่วนใหญ่คิดกันแค่นี้มุมมองแคบแค่นี้ ??????????????? จริงๆ แล้ว การดำรงอยู่ของสิ่งนั้นๆ ยังขึ้นอยู่กับกาลเวลา (Time) เวลาเปลี่ยนไป มันก็มีโอกาสแปรผันเปลี่ยนไป เก่าขึ้นและผุพัง หรือเติบโตขึ้น หรือทรุดโทรมย่อยสลายไป พูดง่ายๆ ว่า มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา นั่นก็คือตัว Space (3D) ที่กล่าวถึงเบื้องต้น จะวิ่งอยู่บนแกนของเวลาด้วย (T หรือ Time) กลายเป็น 4 มิติ (4D) ??????????????? การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อสิ่งนั้นๆ (ให้เป็น A) เมื่อเวลาเปลี่ยนไปโดยการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากอะไรอีกสิ่งหนึ่ง (ให้เป็น B) ที่กระทำต่อสิ่งนั้น (A) ??????????????? A เปลี่ยนไปเพราะการกระทำของ B ที่ส่งผลมากน้อยขึ้นอยู่กับเวลา (T) ???????????????? แต่จริงๆ แล้ว อาจไม่ใช่ B ตัวเดียวที่มีผลหรือกระทำต่อ A ตามเวลาที่เปลี่ยนไป อาจมีตัวแปรอื่นๆ มากกว่า B เช่น C, D, E, จนถึงนับไม่ถ้วน โดย B เองอาจวิ่งอยู่บนแกนของตัวแปรอื่นๆ อีกที พูดง่ายๆ ว่า ตัวแปรอื่นๆ ทำให้ B เปลี่ยน และ B ก็ไปเปลี่ยน A อีกที มันโยงกันเป็นทอดๆ อย่างไม่รู้จบ สมดังคำสอนของพุทธศาสนาที่ว่า เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด (ตถตา) ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือดำรงอยู่ได้อย่างโดดๆ คือเราไม่สามารถแยกสิ่งใดให้เกิดหรืออยู่อย่างโดดเดี่ยวด้วยตัวของมันเองได้เลย (ทุกอย่างเป็นสังขารธรรม) ??????????????? พูดง่ายๆ ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ล้วนอยู่ภายใต้การดำรงอยู่แบบมิติร่วมหรือหลากมิติหรือ Multi-dimension (เหมือนคำสุภาษิตว่า One for All และ All for One) ทุกๆ สิ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด และสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดก็เป็นองค์ประกอบของทุกๆ สิ่ง คุณเป็นเสี้ยวส่วนหนึ่งที่ประกอบเป็นจักรวาล และจักรวาลทั้งหมดก็เป็นองค์ประกอบที่กำหนดตัวคุณ คุณเป็นเสี้ยวส่วนหนึ่งที่ประกอบเป็นสังคมเป็นโลก และสังคมหรือโลกก็เป็นองค์ประกอบที่กำหนดความเป็นตัวตนของคุณ (We are the World) ??????????????? ถ้าจะมองให้ลึกลงไปกว่านั้น ผลลัพธ์ของสิ่งทั้งปวงที่กล่าวมาทั้งหมด ความเป็นไปของ A หรือ การแปรเปลี่ยนไปของ A ยังขึ้นอยู่กับว่า เราเฝ้ามอง A ขณะที่มันอยู่ปลายขั้วสุดโด่งแค่ไหน ถ้าเราย่นย่อขนาดของ A ลงเรื่อยๆ เราจะพบว่า การกระทำโดยองค์ประกอบต่างๆ (B, C, D, E ฯลฯ) ที่เคยมีผลต่อ A จะเปลี่ยนอากัปกิริยาไป ไม่เหมือนขณะที่ A ยังมีขนาดปกติเดิมๆ ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงหรือคุณสมบัติของ A พลิกผันไปไม่อยู่ในแนวหรือกรอบหรือรูปแบบ (Pattern) ที่เราเคยชินเดิมอีกต่อไป คำทำนายหรือคาดหวังเดิมที่เคยใช้ได้ผลกับ A จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป บางครั้งถึงกับกลับหน้ามือเป็นหลังมือเลย ในทำนองเดียวกัน ถ้าเบ่งขยายขนาดของ A ขึ้นไปจนสุดมโหฬาร ก็อาจเกิดอาการเดียวกันคือ การคาดหวังเดิมต่อการเปลี่ยนไปของ A อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป ??????????????? นั่นหมายความว่า ?ทั้งหมด? ที่เราพูดถึงมาแต่ต้น A, T, B (C, D, E, F ฯลฯ) จะวิ่งอยู่บนแกนของ ?ขนาด? ด้วย (น่าคิด ขนาดเดิมที่เป็นตัวกำหนด A แต่ต้นย้อนกลับมาขึ้นอยู่กับ ขนาด(สุดโด่ง เล็กสุด ใหญ่สุด) อีกครั้ง!) ??????????????? ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ??????????????? เพราะเมื่อเราย่นย่อขนาดของ A เล็กลงเรื่อยๆ A ก็จะเผชิญหรือถูกกระทำหรือพบกับ T, B (C, D, E, F ฯลฯ) ในรูปโฉมบทบาทที่ไม่เหมือน T, B (C, D, E, F ฯลฯ) เดิมอีกต่อไป พร้อมๆ กันนั้นเมื่อเราย่นน่อ A ลงเรื่อยๆ A ก็ได้สูญเสียรูปแบบเดิมไปทุกทีๆ เพราะ A เองก็เกิดขึ้นได้ด้วยการประกอบด้วยองค์ประกอบอื่นๆ เหมือนที่ A เคยเป็นองค์ประกอบให้แก่องค์รวมเดิม (สังคม โลก จักรวาล) การตัดส่วนประกอบของ A เดิมออกไปเรื่อยๆ เพื่อเป็น A ตัวใหม่ที่เล็กลงๆ ทุกที เราก็จะได้ A ตัวใหม่ไม่ซ้ำเดิม ซึ่งแต่ละ A ใหม่ก็ย่อมมีปฏิสัมพันธ์หรือผลกระทบกันและกันต่อ T, B (C, D, E, F ฯลฯ) เปลี่ยนไปเช่นกัน ??????????????? นั่นหมายความว่า ??????????????? ที่เอาแค่การซอยย่อย มอง หรือพิจารณาย่อยลงไปแค่ 2 ชั้น (จาก A ปกติ) จริงๆ ก็คงจะซอยย่อยลงไปได้อีกและได้อีก ซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบันอาจยังไปไม่ถึง ??????????????? จะเห็นว่า A ดำรงอยู่ได้ด้วยการทับซ้อนของมิติร่วมหลายระดับชั้นซอยย่อยๆ ลงไป จะพูดว่าขนานกันไปก็คงได้ เพราะมาจากกลุ่มก้อนองค์รวม A เดียวกัน ??????????????? พูดให้ถูกก็คือ ?ทุกสิ่ง? (ไม่ใช่เฉพาะแค่ A) จะอยู่ในเงื่อนไขนี้ทั้งสิ้น พูดโดยองค์รวมก็คือ เราอยู่ในจักรวาลหลากมิติ (Multi-Dimension Universe) นั่นเอง ??????????????? คิดในแง่นี้ อะไรที่คุณสัมผัสหรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วย จึงมิใช่ของจริงที่ตายตัว (อะไรที่จริงมันไม่จริง อะไรที่ไม่จริงมันจริง) ขึ้นอยู่กับว่า เรามองมันหรือสัมผัสมันในแง่มุมไหน ในกิริยาอย่างไร (Specific Truth) หรือพูดแบบภาษาพระก็ว่า เป็นความจริงสมมติ (สมมติสัจจะ) ไม่ใช่จริงอย่างสมบูรณ์ (เถียงไม่ได้) (Absolute Truth) หรือปรมัถต์สัจจะธรรม ??????????????? การจะบอกว่า A เป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า คุณวัดมัน ดูอากัปกิริยาตอบสนองของมันจากการกระทำด้วย B หรือ C หรือ D ฯลฯ ด้วยกรอบของระยะเวลา (T) เท่าไร ??????????????? A จึงมีได้หลายหน้า (Many Face) แล้วแต่ว่า มองมุมไหน มองอย่างลึกซึ้งแค่ไหน (พิจารณาจากหลายๆ มุมมองผสมกัน) หรือมองดู A อย่างซอยย่อย (A จิ๋วๆ) ไปกี่ชั้น ??????????????? ภาษาพระจึงพูดว่า A ไม่มีอยู่ มันเป็นอะไรก็ได้ ??????????????? คนเราก็เหมือนกัน ??????????????? ทั้ง 6 คนรับรู้ความเป็นตัวตนของนายสมชายที่ต่างกันไป (B, C, D, E) แล้วตัวตนของนายสมชายจริงๆ คือใคร เป็นอย่างไร ??????????????? แม้แต่นายสมชายเองก็ยังไม่รู้ เช้านี้คิดถึงตัวเองอย่างนึง บ่ายคิดอีกอย่าง เย็นคิดอีกอย่าง ตัวนายสมชายจริงๆ อยู่ตรงไหน ??????????????? นายสมชายหยิบรูปเก่าๆ สมัยเป็นเด็ก 10 ขวบ สมัยวัยรุ่น 22 ปีมานั่งดู คนในรูปที่นายสมชายระบุว่าเป็นตัวเขาเอง แล้ววันนี้ทั้ง 2 คนนั้นหายไปไหน สองสมชายวันนั้นกับสมชายวันนี้ ไม่เห็นมีอะไรเหมือนกันเลย ทั้งหน้าตาและความคิดอ่าน ??????????????? เซลล์ของมนุษย์ 23,000 ล้านเซลล์ตายไปทุกวัน ความคิดเปลี่ยนไปทุกวัน ทุกอวัยวะ ชิ้นส่วน เปลี่ยนไปทุกวินาที การรับรู้หรือประสบการณ์ (ขันธ์) ก็เปลี่ยนไปทุกเสี้ยววินาที มันไม่มีทางจะมีนายสมชายที่แท้จริงได้เลย นายสมชายตายไปทุกๆ เสี้ยววินาที แล้วก็เกิดใหม่ทุกๆ เสี้ยววินาที ตาย-เกิดสลับกันไป ว่าไปแล้ว ทุกสิ่งและจักรวาลก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน ??????????????? ?หน้าตาของเจ้า ก่อนที่เจ้าจะเกิด? เมื่อไม่มีเจ้า แล้วจะมีหน้าตาของเจ้าได้อย่างไร ??????????????? ถ้าอย่างนั้น ไม่มีนายสมชายใช่ไหม ??????????????? หามิได้ เราต้องพูดว่า มีแต่สิ่งที่ประกอบเป็นนายสมชายต่างหาก เมื่อคุณตีหัวนายสมชาย ย่อมกระทบกระเทือนต่อสิ่งที่ประกอบเป็นนายสมชาย ที่จะเจ็บและโต้ตอบไม่ใช่นายสมชาย ??????????????? จากแนวคิดเหล่านี้ เราจะเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เราทุกคน ต่างถูกเชื่อมต่อเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน มีเขาในเรา มีเราในเขา จึงป่วยการที่จะคิดแบบแบ่งแยก (ทวิภาวะ) การทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายโลก ก็คือการทำร้ายตัวเอง ??????????????? พร้อมกันนั้น เราจะมีใจที่เปิดกว้าง เมื่อเรามีความคิดที่แตกแยก แปลกแยก ไม่ลงรอยกัน อาจเพราะมุมมองที่ต่างกัน อีกทั้งเมื่อสถานการณ์ กาลเวลาเปลี่ยนไป สิ่งที่ใช้ไม่ได้ผล ก็อาจใช้ได้ผลได้ สิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับ ก็อาจได้รับการยอมรับ ??????????????? เมื่อคุณมองโลกและจักรวาลอย่างมิติองค์รวม (Multi-Dimension) ใจคุณจะไม่แบ่งแยก คุณจะนิ่ง และมีสมาธิ คุณจะเข้าใจในทุกๆ สิ่ง เปิดกว้างและเปี่ยมด้วยความเมตตา (ในความไม่รู้ของคนอื่นๆ) คุณจะอยู่เหนือกาลเวลาและความแตกต่าง ความเปลี่ยนแปลง (ทุกข์) นั่นคือ คุณกำลังก้าวเดินอยู่บนเส้นทางแห่งนิพพานดีๆ นี่เอง ็็็ www.maitreeav.com |